-01.jpg)
ไส้กรองน้ำมันเครื่องต้องเปลี่ยนบ่อยแค่ไหน?
วันที่เผยแพร่: 9 ส.ค. 2567
ไส้กรองน้ำมันเครื่องต้องเปลี่ยนบ่อยแค่ไหน? พร้อมวิธีเช็กน้ำมันเครื่อง
Key Takeaway
ไส้กรองน้ำมันเครื่อง คืออุปกรณ์กรองของเสียและสิ่งสกปรกที่ปนเปื้อนในน้ำมันเครื่อง ป้องกันเครื่องยนต์เสียหายที่อาจเกิดจากสิ่งสกปรกต่างๆ อย่างฝุ่นละออง ผงโลหะ หรือเศษโลหะ
ตัวกรองจะทำหน้าที่เป็นตะแกรงที่ดักจับสิ่งแปลกปลอมและสิ่งสกปรกที่มีอยู่ในน้ำมันเครื่องก่อนที่จะผ่านตัวกรองและไหลไปยังเครื่องยนต์
หากพบว่าประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ลดลง ท่อไอเสียมีคราบควัน เครื่องยนต์ส่งเสียงผิดปกติ มีไฟเตือนแรงดันน้ำมันเครื่อง เครื่องยนต์ร้อนไว หรือน้ำมันเครื่องมีสีผิดปกติ นั่นคือสัญญาณให้เปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่อง
นอกจากนี้ ควรเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องทุก 10,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 เดือน เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกสะสมในไส้กรองน้ำมันเครื่องอีกด้วย
ที่ Autobacs มีบริการเช็กสภาพรถยนต์ รวมไปจนถึงการเปลี่ยนไส้กรองและการถ่ายน้ำมันเครื่องด้วยน้ำมันคุณภาพสูงที่เหมาะสมกับรถ ด้วยทีมช่างมืออาชีพ พร้อมให้บริการอย่างเต็มที่
การดูแลรักษารถยนต์ไม่ใช่เพียงแค่การขับขี่อย่างระมัดระวังเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการบำรุงรักษาส่วนประกอบต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด และหนึ่งในส่วนสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ “ไส้กรองน้ำมันเครื่อง” ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกรองสิ่งสกปรกและเศษโลหะออกจากน้ำมันเครื่อง ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างราบรื่นและยืดอายุการใช้งาน
การเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่อง ควรทำตามระยะเวลาที่กำหนดหรือตามอายุการใช้งานของรถ บทความนี้จะมาแนะนำว่าควรเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องบ่อยแค่ไหน อาการแบบไหนควรเปลี่ยน พร้อมวิธีเช็กน้ำมันเครื่องสำหรับมือใหม่ ไปดูกันเลย
ไส้กรองน้ำมันเครื่อง คืออะไร
ไส้กรองน้ำมันเครื่อง หรือ Engine Oil Filter คืออุปกรณ์ที่มีหน้าที่หลักในการกรองของเสียและสิ่งสกปรกที่ปนเปื้อนในน้ำมันเครื่อง เพราะหากสิ่งสกปรกหลุดเข้าไปในเครื่องยนต์อาจทำให้เกิดความเสียหายได้ โดยทั่วไปลักษณะของไส้กรองน้ำมันเครื่องจะเป็นกระป๋องเหล็ก (Canister) ซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่มาก ภายในมีแผ่นกรองที่ทำจากตาข่ายใยสังเคราะห์หรือกระดาษกรองพิเศษ ซึ่งจะทำหน้าที่ดักจับสิ่งสกปรกต่างๆ โดยไส้กรองน้ำมันเครื่องนั้นอาจอยู่ใต้ท้องรถหรือด้านบนเครื่องยนต์ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับรถแต่ละรุ่นนั่นเอง
ไส้กรองน้ำมันเครื่อง ทำหน้าที่อะไร
ไส้กรองน้ำมันเครื่อง เป็นส่วนสำคัญที่ทำหน้าที่ขจัดสิ่งไม่พึงประสงค์ออกจากตัวน้ำมันเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง ผงโลหะ หรือเศษโลหะที่อาจสร้างความเสียหายให้กับเครื่องยนต์ ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้ปกติและเพิ่มอายุการใช้งาน รวมถึงประสิทธิภาพของตัวเครื่องยนต์
ตัวกรอง ทำจากใยสังเคราะห์ทำหน้าที่เป็นตะแกรงที่ดักจับสิ่งแปลกปลอมและสิ่งสกปรกที่มีอยู่ในน้ำมันเครื่อง โดยน้ำมันเครื่องจะไหลผ่านแผ่นฝาที่มีรูตรงกลางและรูเล็ก ๆ รอบข้าง ก่อนที่จะผ่านตัวกรองและไหลไปยังเครื่องยนต์ผ่านรูใหญ่ตรงกลาง
ซึ่งน้ำมันเครื่องทำหน้าที่เหมือนน้ำสะอาดไหลเวียนในเครื่องยนต์เพื่อหล่อเลี้ยงชิ้นส่วนต่าง ๆ และช่วยลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ ดังนั้นไส้กรองน้ำมันเครื่องจึงมีหน้าที่หลักในการช่วยกรองของเสียและดักจับสิ่งสกปรกต่าง ๆ เพื่อป้องกันการอุดตันและไม่ให้ขัดขวางการทำงานของเครื่องยนต์นั่นเอง
7 สัญญาณบ่งบอกว่าควรเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่อง
แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องแล้ว? มาดูสัญญาณต่าง ๆ ที่บ่งบอกว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องใหม่ ดังนี้
1. ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ลดลง
ไส้กรองน้ำมันเครื่องที่มีสิ่งสกปรกสะสม หรือมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ทำให้ประสิทธิภาพการไหลของน้ำมันภายในเครื่องยนต์ลดลง การหล่อลื่นไม่เพียงพอ และเพิ่มการเสียดสี หรือการสึกหรอของชิ้นส่วนภาพในเครื่องยนต์ จนเป็นสาเหตุให้ประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์ลดลง
สัญญาณของปัญหานี้ ที่สังเกตเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นการลดลงของพลังงานเมื่อเร่งความเร็ว และการตอบสนองของคันเร่งที่ช้าลง รวมไปจนถึงประสิทธิภาพเครื่องยนต์ที่ลดลงอย่างชัดเจน โดยไส้กรองที่เสื่อมสภาพจะทำให้เกิดการลดลงของพลังม้าและพลังเครื่องยนต์อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นหากพบสัญญาณเหล่านี้ควรรีบเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องทันทีเพื่อความปลอดภัยต่อตัวรถยนต์
2. ท่อไอเสียมีคราบควัน คราบดำ
ควันไอเสียที่มีสีดำ หรือควันเทาหนาแน่น ส่งผลให้ท่อไอเสียเกิดคราบควัน คราบดำเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่ามีการเผาไหม้น้ำมันเครื่องและมีสิ่งปนเปื้อนที่ผ่านแหวนลูกสูบเข้าไปในห้องเผาไหม้ ซึ่งสิ่งนี้อาจเกิดขึ้นได้จากการสึกหรอหรือความเสียหายของแหวนลูกสูบ
หากแหวนลูกสูบมีการสึกหรออาจไม่สามารถปิดได้อย่างหนาแน่นพอ จะทำให้น้ำมันเครื่องสามารถเข้าไปในห้องเผาไหม้ได้ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ภายใต้แรงดันสูง การเผาไหม้น้ำมันเครื่องในห้องเผาไหม้นำไปสู่ควันไอเสียที่มีสีเข้มขึ้น ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสัญญาณว่าถึงเวลาควรเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่อง
3. เครื่องยนต์ส่งเสียงผิดปกติ
ไส้กรองน้ำมันเครื่องที่อุดตัน หรือเสื่อมสภาพ อาจทำให้แรงดันน้ำมันไม่พอ หรือสม่ำเสมอ และการไหลของน้ำมันลดลง ซึ่งทำให้ชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ไม่ได้รับการหล่อลื่นที่เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น ชุดวาล์วด้านบน (ซึ่งรวมถึงส่วนประกอบเช่น แขนโยก แกนผลัก และตัวยก) ที่เมื่อไม่ได้รับการหล่อลื่นที่เพียงพออาจทำให้พวกมันมีเสียงกระทบหรือเสียงคลิก โดยสาเหตุของเสียงเหล่านี้มาจากการเสียดสีที่เพิ่มขึ้นและการสัมผัสกันของโลหะกับโลหะ เพราะฟิล์มน้ำมันไม่เพียงพอ
นอกจากนี้ลูกสูบ แคมชาฟท์ ตัวยก แบริ่ง และชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวอื่น ๆ ก็ล้วนต้องพึ่งพาการจ่ายน้ำมันอย่างสม่ำเสมอเพื่อการทำงานที่ราบรื่น หากไม่มีการจ่ายน้ำมันเหล่านี้ก็ส่งผลให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ เกิดเสียงจากการเสียดสีเกิดเป็นเสียงต่าง ๆ เกิดขึ้นซึ่งเสียงเหล่านั้นบ่งบอกถึงการสึกหรอที่เพิ่มขึ้นและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นนั่นเอง
4. มีไฟเตือนแรงดันน้ำมันเครื่อง
รถยนต์สมัยใหม่หลายรุ่นมีระบบตรวจสอบแรงดันน้ำมันเครื่องที่มาพร้อมกับไฟเตือน ซึ่งเป็นคุณสมบัติมาตรฐานที่ออกแบบมาเพื่อแจ้งเตือนผู้ขับขี่เกี่ยวกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับแรงดันน้ำมันเครื่องของเครื่องยนต์
ไฟเตือนจะถูกกระตุ้นโดยแรงดันน้ำมันที่ต่ำเกินมาตรฐาน ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ รวมถึงไส้กรองน้ำมันเครื่องที่อุดตันอย่างรุนแรงเช่นกัน ซึ่งหากไส้กรองถูกอุดตันอย่างหนัก อาจทำให้การไหลของน้ำมันถูกจำกัด นำไปสู่การลดลงของปริมาณและทำให้เกิดแรงดันน้ำมันภายในเครื่องยนต์
โดยการทำงานของไฟเตือนแรงดันน้ำมันเครื่องบ่งบอกว่าน้ำมันอาจไม่ได้ไปหล่อลื่นชิ้นส่วนสำคัญของเครื่องยนต์อย่างเพียงพอ ซึ่งนี่เป็นสภาวะที่ร้ายแรงเพราะอาจส่งผลให้เกิดการเสียดสีที่เพิ่มขึ้น ความร้อนสูงเกินไป และการสึกหรอของชิ้นส่วนเครื่องยนต์นั่นเอง
5. เครื่องยนต์ร้อนไว
ถึงแม้ว่าน้ำมันเครื่องไม่ใช่ตัวกลางหลักในการระบายความร้อน แต่หากไส้กรองน้ำมันเครื่องเกิดการอุดตันที่รุนแรงก็จะส่งผลให้การไหลเวียนของน้ำมันเกิดการติดขัด ซึ่งอาจนำไปสู่การหล่อลื่นและระบายความร้อนของเครื่องยนต์ที่ไม่เพียงพอ สิ่งนี้อาจทำให้เกิดอุณหภูมิเครื่องยนต์ที่สูงขึ้นก็ได้เช่นกัน
ดังนั้นเพื่อป้องกันการร้อนเกินไป ควรล้างและเติมน้ำหล่อเย็นในระบบอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของผู้ผลิต ตรวจสอบระบบหม้อน้ำ ท่อ และการรั่วของปั๊มน้ำอย่างสม่ำเสมอ รวมไปจนถึงตรวจสอบระดับและสภาพของน้ำมันเครื่องทุกเดือน
6. น้ำมันเครื่องมีสีผิดปกติ
การตรวจสอบลักษณะ และสภาพของน้ำมันเครื่องเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญ โดยปกติแล้วน้ำมันเครื่องที่สดใหม่มักจะมีสีเหลืองอำพันหรือสีน้ำตาลอ่อน และเมื่อเวลาผ่านไปสีของมันจะเข้มขึ้นเพราะการสัมผัสกับความร้อนและการสะสมของอนุภาค ซึ่งส่งผลให้น้ำมันที่มีสีเข้มขึ้น สีดำ หรือมีลักษณะเป็นโคลนที่อาจบ่งบอกว่าน้ำมันมีการปนเปื้อนอย่างหนัก แม้ว่าสิ่งนี้ไม่จำเป็นต้องหมายความว่าไส้กรองน้ำมันเครื่องเสีย แต่ก็บ่งบอกว่าน้ำมันเก่าและอาจมีการปนเปื้อนมากเกินไป
โดยน้ำมันที่มีลักษณะเป็นเม็ดหยาบหรือมีเศษโลหะหรือเศษคาร์บอนที่มองเห็นได้เป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างมาก ซึ่งสิ่งนี้อาจบ่งบอกถึงการสึกหรอของชิ้นส่วนเครื่องยนต์ หรือกระบวนการกรองที่เริ่มหมดประสิทธิภาพ และหากไส้กรองอุดตันหรือทำงานผิดปกติ มันจะไม่สามารถทำความสะอาดน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนำไปสู่การสะสมของสิ่งปนเปื้อนเหล่านี้ในน้ำมันเครื่องได้นั่นเอง
7. น้ำมันเครื่องผ่านการใช้งานมานาน
การเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องทุกๆ ครั้งหรือประมาณทุก 10,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 เดือน คือสิ่งที่ควรทำเป็นประจำอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามช่วงระยะทางนี้อาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับประเภทของรถยนต์ รวมไปจนถึงประเภทของน้ำมันที่ใช้ และลักษณะการขับขี่
หากละเลยช่วงเวลาที่แนะนำสำหรับการเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่อง จะทำให้ไส้กรองสกปรกสะสม มีสิ่งอุดตันอาจนำไปสู่การสึกหรอของเครื่องยนต์ที่เพิ่มขึ้น
ไส้กรองน้ำมันเครื่องเก่าเกินไป อาจทำให้แรงดันน้ำมันไม่พอ
ไส้กรองน้ำมันเครื่องทำหน้าที่สำคัญในการกรองสิ่งไม่พึงประสงค์และของเสียออกจากน้ำมันเครื่อง หากไส้กรองถูกใช้งานไปเป็นเวลานานและไม่ได้รับการเปลี่ยน สิ่งสกปรกจะเริ่มสะสมและทำให้ไส้กรองอุดตัน การอุดตันนี้จะทำให้ไส้กรองไม่สามารถกรองน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อไส้กรองน้ำมันเครื่องอุดตันก็จะส่งผลให้เกิดอาการแรงดันน้ำมันไม่พอ ทำให้น้ำมันไม่สามารถไหลถึงชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ได้อย่างเพียงพอ ซึ่งสิ่งนี้จะนำไปสู่การเสียดสีและการสึกหรอที่เพิ่มขึ้น และอาจทำให้เครื่องยนต์ได้รับความเสียหายในที่สุด ดังนั้นการเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องตามระยะเวลาที่แนะนำจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาแรงดันน้ำมันและป้องกันการสึกหรอของเครื่องยนต์ให้ดีที่สุด
รถที่ไม่ได้ถ่ายน้ำมันเครื่องจะเป็นอย่างไร
หากละเลยไม่เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามกำหนด จะทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมคุณภาพและส่งผลกระทบต่อการทำงานของเครื่องยนต์ สิ่งนี้อาจส่งผลให้เครื่องยนต์ไม่สามารถตอบสนองต่อการเร่งความเร็วได้ตามที่คาดหวัง ซึ่งรถอาจแสดงอาการขับขี่ที่ไม่คล่องตัว เช่น การเร่งความเร็วที่ไม่ต่อเนื่องหรือต้องใช้เวลานานกว่าปกติในการเพิ่มรอบเครื่องยนต์ และหากไม่ดำเนินการแก้ไขอาจนำไปสู่ความเสียหายร้ายแรงของเครื่องยนต์ในที่สุด
วิธีเช็กน้ำมันเครื่อง แบบไหนที่ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันใหม่
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ หลายคน ๆ อาจสงสัยวิธีเช็กน้ำมันเครื่องว่าควรเช็กอย่างไร และอาการแบบไหนที่ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันใหม่ ไปดูกัน
จอดรถให้อยู่ในแนวระนาบ โดยไม่ควรจอดรถในที่ลาดเอียง เพราะจะทำให้การวัดระดับน้ำมันเครื่องไม่แม่นยำ
หลังจากที่เครื่องยนต์เย็นลงให้เปิดฝากระโปรงรถและหาก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง
ดึงก้านวัดน้ำมันออกจากนั้นใช้ผ้าสะอาดหรือกระดาษทิชชูเช็ดทำความสะอาดน้ำมันที่ติดอยู่กับก้านวัด
เสียบก้านวัดคืนที่เดิมเพื่อให้น้ำมันไหลลงสู่อ่างน้ำมันเครื่อง และวัดระดับน้ำมันได้อย่างแม่นยำ
ตรวจสอบระดับน้ำมันด้วยการดึงก้านวัดออกมาอีกครั้งและตรวจสอบระดับน้ำมันที่ปลายก้านวัด หากระดับน้ำมันอยู่ระหว่างขีด “F” กับ “L” หรือ “Max กับ Min” แสดงว่าน้ำมันเครื่องอยู่ในระดับปกติ หากอยู่ในระดับที่น้อยกว่านั้น หมายความว่าต้องรีบเปลี่ยนน้ำมันเครื่องได้แล้ว
สรุป
ไส้กรองน้ำมันเครื่อง หรือ Engine Oil Filter คือส่วนสำคัญที่ทำหน้าที่กรองสิ่งสกปรกและของเสียที่ปนเปื้อนในน้ำมันเครื่อง ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างราบรื่นและลดการสึกหรอของชิ้นส่วนภายใน เพื่อรักษาประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ การเปลี่ยนไส้กรองควรทำตามระยะเวลาที่แนะนำ โดยปกติคือทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 เดือน หรือตามคำแนะนำจากผู้ผลิตรถยนต์
ที่ Autobacs มีบริการเช็กสภาพรถยนต์ ซึ่งไม่ได้มีเพียงการล้างแอร์รถยนต์และตั้งศูนย์ถ่วงล้อเท่านั้น แต่ยังรวมไปจนถึงการเปลี่ยนไส้กรองและการถ่ายน้ำมันเครื่องด้วยน้ำมันคุณภาพสูงที่เหมาะสมกับรถ ด้วยทีมงานมืออาชีพที่พร้อมให้คำแนะนำและบริการดูแลรถยนต์อย่างเต็มที่ เพื่อให้รถมีสมรรถนะที่ดีและปลอดภัยตลอดการใช้งาน