ดอกยางรถสำคัญกว่าที่คิด ควรเช็กอยู่เสมอ
วันที่เผยแพร่: 13 ส.ค. 2567
ดอกยางรถสำคัญกว่าที่คิด ควรเช็กอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้ดอกยางเสื่อม
รู้หรือไม่ว่าดอกยางรถเป็นส่วนที่สำคัญมาก เพราะดอกยางรถที่เหมาะสมและได้รับการดูแลอย่างถูกต้องจะช่วยให้รถมีการควบคุมที่ดี ลดการสึกหรอ และลดความเสี่ยงของอุบัติเหตุได้ แต่หากดอกยางเสื่อมสภาพจะทำให้รถเสียการควบคุมได้ง่าย และยางอาจเกิดการระเบิดได้ ดังนั้นจึงควรหมั่นตรวจเช็กดอกยางรถอยู่เสมอ และเปลี่ยนดอกยางรถเมื่อถึงเวลา แต่ทำได้อย่างไร และควรเลือกประเภทยางรถยนต์และลายดอกยางแบบไหนดี ในบทความนี้มีคำตอบ
Key takeaway
ดอกยางรถเป็นสิ่งที่ช่วยให้รถยึดเกาะถนนได้ดี ไม่ว่าถนนจะเปียกหรือแห้ง ลดแรงกระแทกจากพื้นถนน และยังช่วยแบ่งแรงกดทุกทิศทางให้รถยนต์
ดอกยางหมดคือการที่ความลึกของร่องดอกยางและบริเวณสะพานยาง น้อยกว่า 16 มม. ไม่ควรใช้ต่อ ต้องเปลี่ยนใหม่ทันที
การเช็กสภาพดอกยางรถทำได้โดยตรวจสอบสะพานยาง วัดดอกยางด้วยไม้บรรทัด เหรียญบาท และสังเกตเสียงที่ผิดปกติขณะขับขี่
ดอกยางรถแต่ละแบบเหมาะกับการใช้งานรถที่ต่างกัน สามารถเลือกได้ 4 แบบ คือ แบบละเอียด บั้ง ผสม และบล็อก
ลายดอกยางรถมีผลต่อการยึดเกาะและการสึกหรอของยาง โดยมี 3 ลาย คือ ลายทิศทางเดียว สมมาตร และไม่สมมาตร
ดอกยางรถ คืออะไร?
ดอกยางรถยนต์นั้นถือเป็นสิ่งสำหรับอย่างมากในการขับขี่ เพราะดอกยางจะช่วยให้รถยึดเกาะถนนได้ดี ไม่ว่าถนนจะเปียกหรือแห้ง ลดแรงกระแทกจากพื้นถนน และยังช่วยแบ่งแรงกดทุกทิศทางให้รถยนต์ ดังนั้นจึงควรดูแลและใส่ใจดอกยางรถยนต์อยู่เสมอเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการขับขี่
องค์ประกอบของดอกยาง
ดอกยางรถยนต์นั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องใส่ใจเพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และครอบครัว โดยบนดอกยางนั้นมีส่วนประกอบทั้งหมด 5 อย่างซึ่งแต่ละส่วนก็จะทำหน้าที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
บล็อกดอกยาง: ส่วนหน้ายางที่ยกนูนออกมาจากหน้ายางซึ่งเป็นตัวที่สัมผัสกับพื้นผิวถนนโดยตรง
แนวดอกยาง: แนวของบล็อกดอกยาง ที่เรียงตัวไปตามเส้นรอบวงยาง
ร่องดอกยางเล็ก: ร่องเล็กๆ ลักษณะลวดลายในบล็อกดอกยาง ช่วยเพิ่มสมรรถนะในการยึดเกาะถนน
ร่องดอกยางละเอียด: ช่องเล็กๆ ที่แสดงลวดลายบนดอกยางที่ช่วยรีดน้ำออกเมื่อถนนเปียก
ร่องยาง: แนวร่องตามเส้นรอบวงของยาง อยู่ระหว่างแนวดอกยาง
ดอกยางรถ มากกว่าแค่กันลื่น
หลายๆ คนอาจคิดว่าดอกยางรถมีไว้เพื่อป้องกันการลื่นไถลบนถนนเปียกเท่านั้น แต่ในความจริงนั้นดอกยางรถมีหน้าที่สำคัญมากกว่านั้น เพราะดอกยางรถเป็นส่วนที่สัมผัสกับถนนโดยตรง จึงมีบทบาทในการรับน้ำหนักของรถยนต์ ถ่ายทอดแรงเร่งและเบรก รวมถึงเปลี่ยนและรักษาทิศทางการเคลื่อนที่ ดังนั้นจึงควรใส่ใจดอกยางรถเป็นพิเศษเพื่อเพิ่มสมรรถนะให้รถยนต์ รวมไปจนถึงความปลอดภัยต่อผู้โดยสารภายในรถด้วย
ดอกยางหมด อันตรายถึงชีวิต!
การวัดดอกยางหมด เราสามารถวัดดอกยางได้โดยดูจากความลึกของร่องดอกยาง ซึ่งไม่ควรต่ำกว่าบริเวณสะพานยาง 1.6 มิลลิเมตร (โดยประมาณ) โดยวิธีวัดความลึกของร่องดอกยากและบริเวณสะพานยาง สามารถวัดได้โดยใช้เครื่องวัดความลึกของดอกยางหรือที่เรียกกันว่าเกจวัดความลึกร่องดอกยาง ซึ่งถ้าความลึกของร่องดอกยางเหลือน้อยกว่านั้นก็ควรเปลี่ยนเป็นยางชุดใหม่
การใช้รถโดยที่ยางรถยนต์ดอกยางหมดจะทำให้เกิดปัญหาและอันตรายหลายอย่าง เช่น ลื่นไถลบนถนนเปียกหรือแม้แต่แห้ง เพราะไม่สามารถรีดน้ำออกจากพื้นผิวยางได้ทำให้รถเสียการควบคุมได้ง่าย เสียเวลาและเงิน และลดอายุการใช้งานของยาง หรือร้ายแรงที่สุดก็คือการเกิดอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำจากยางระเบิด เพราะดอกยางหมดทำให้ยางมีความยืดหยุ่นน้อยลง
สาเหตุดอกยางรถเสื่อมเร็ว เกิดจากอะไรบ้าง
ดอกยางรถเป็นส่วนที่สำคัญมากสำหรับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของรถยนต์ แต่บางครั้งดอกยางรถอาจเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่คาดหวัง ทำให้เกิดเสียงหรือขับแล้วรถสั่น ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ดอกยางรถเสื่อมเกิดได้จากหลายปัจจัย ดังนี้
1. แรงดันลมยาง
แรงดันลมยางไม่เหมาะสมเป็นหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ดอกยางรถเสื่อมสภาพเร็ว ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 อย่างคือ แรงดันลมยางน้อยเกินไปทำให้ดอกยางรถมีพื้นผิวยางที่สัมผัสกับถนนมากเกินไปซึ่งส่งผลให้ดอกยางเสื่อมสภาพได้เร็วโดยเฉพาะที่ขอบดอกยาง และทำให้ดอกยางรถมีความยืดหยุ่นน้อยลงซึ่งส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุยางระเบิดได้ แต่หากแรงดันลมยางมากเกินไปทำให้ดอกยางรถมีพื้นผิวยางที่สัมผัสกับถนนน้อยลงส่งผลให้มีการยึดเกาะถนนแย่ลงและรับแรงกระแทกจากพื้นถนนมากขึ้น
แต่ปัญหาแรงดันลมยางไม่เหมาะสมสามารถแก้ไขได้ ด้วยการตรวจสอบแรงดันลมยางอย่างสม่ำเสมอ เติมลมยางให้เหมาะสม รวมไปจนถึงการตรวจสอบแรงดันลมยางอีกครั้งหลังจากเติมหรือปล่อยลมยาง เพื่อให้แน่ใจว่าแรงดันลมยางอยู่ในระดับที่เหมาะสม
2. ศูนย์ล้อไม่ได้มาตรฐาน
ศูนย์ล้อไม่ได้มาตรฐาน คือสภาวะที่ล้อของรถยนต์ไม่ได้ตั้งอยู่ในมุมที่เหมาะสม ส่งผลให้ดอกยางรถเสื่อมสภาพหรือสึกหรอ และทำให้ยางมีอายุการใช้งานที่สั้นลง ซึ่งมีลักษณะดังนี้
การสึกแบบฟันเลื่อย: ดอกยางสึกเร็วกว่าอีกด้านหนึ่ง ส่วนมากเกิดบริเวณไหล่ยางจากมุมโทที่ไม่เหมาะสม เมื่อลูบด้วยมือจะรู้สึกสะดุดเหมือนฟันเลื่อย
การสึกแบบขนนก: ดอกยางสึกไม่สม่ำเสมอทำให้เมื่อลูบด้วยมือดอกยางมีลักษณะคล้ายขนนก ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของศูนย์ล้อหลายแบบ เช่น มุมโทและมุมแคสเตอร์ที่มากเกินไป
การสึกที่ไหล่ยางด้านเดียว: ดอกยางสึกเร็วกว่าอีกด้านหนึ่ง ทำให้ดอกยางสึกหรอที่ไหล่ยางด้านนอกหรือด้านในเรียกว่าการสึกแบบแคมเบอร์ เกิดจากมุมแคมเบอร์ที่ไม่เหมาะสม
โดยวิธีแก้ไขปัญหาศูนย์ล้อไม่ได้มาตรฐาน คือ ให้ตรวจสอบศูนย์ล้ออย่างสม่ำเสมออย่างน้อยทุก 10,000 กิโลเมตร หรือหลังจากการเกิดการชน ถ้าศูนย์ล้อไม่ได้มาตรฐานให้ทำการปรับศูนย์ล้อให้เหมาะสม และตรวจสอบศูนย์ล้ออีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าศูนย์ล้ออยู่ในระดับที่เหมาะสม
ความลึกดอกยางบอกสภาพที่ควรรู้
ยิ่งความลึกของหน้าดอกยางรถเหลือน้อยเท่าไร ยิ่งมีผลต่อการขับขี่ที่ปลอดภัยมากเท่านั้น โดยความลึกของดอกยางสามารถบ่งบอกถึงสภาพดอกยางว่าดีแค่ไหน ซึ่งสามารถวัดได้จากความลึกของร่องดอกยางและบริเวณสะพานยาง ถ้าน้อยกว่า 1.6 มิลลิเมตร ไม่ควรใช้ต่อ ต้องเปลี่ยนใหม่ทันที
รวม 4 วิธีเช็กสภาพดอกยางด้วยตัวเอง
ดอกยางรถยนต์ก็เหมือนกับรองเท้าที่มีต้องสัมผัสกับพื้นผิวถนนหรือพื้นในทุกๆ วันส่งผลให้เสื่อมสภาพ ยิ่งดอกยางมีคุณภาพดีก็จะช่วยให้สามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัยและมั่นใจมากขึ้น ซึ่งการตรวจสภาพดอกยางนั้นสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ดังนี้
1. ตรวจสอบสะพานยาง
สะพานยางอยู่บริเวณหน้ายางและแก้มยางเป็นเส้นยางที่เชื่อมร่องดอกยางเข้าด้วยกัน มีหน้าที่ช่วยให้สามารถวัดความลึกของดอกยางได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษ ซึ่งหากสังเกตเห็นว่าความลึกของดอกยางลดลงจนเท่ากับหรือน้อยกว่าสะพานยาง นั้นแสดงว่าดอกยางหมด ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแล้ว
2. ตรวจสภาพดอกยางด้วยไม้บรรทัด
ไม้บรรทัดสามารถวัดความสูงของดอกยางรถยนต์ได้ ด้วยการนำไม้บรรทัดวางลงในร่องดอกยาง แล้วดูความลึกของร่องดอกยางโดยเปรียบเทียบกับเส้นขอบของไม้บรรทัด ซึ่งหากพบว่าความลึกของร่องดอกยางน้อยกว่า 3 มิลลิเมตร แสดงว่าดอกยางหมด และควรเปลี่ยนยางใหม่
3. ตรวจสภาพดอกยางด้วยเหรียญบาท
เพียงแค่นำเหรียญบาทวางลงในร่องดอกยาง แล้วสังเกตดูว่าดอกยางสูงกว่าเหรียญบาทเท่าไร ซึ่งหากพบว่าดอกยางต่ำกว่าเหรียญบาทประมาณ 1/3 แสดงว่าดอกยางหมด และควรเปลี่ยนดอกยางรถใหม่
4. สังเกตเสียงตอนขับรถ
การสังเกตเสียงตอนขับรถ ซึ่งหากได้ยินเสียงดังหรือเสียงหวีด พบว่ารถมีการส่ายไปมา นั้นแสดงว่ายางไม่สามารถรับแรงกระแทกได้เหมือนเช่นเคย หรือเมื่อขับขี่และสัมผัสได้ว่ายางมีความนุ่มมากขึ้นกว่าปกติ ก็เป็นไปได้ที่แรงดันลมยางจะไม่เหมาะสมหรือดอกยางหมด ซึ่งหากพบอาการเหล่านี้ควรรีบไปเช็กสภาพดอกยางรถยนต์ทันทีเพื่อความปลอดภัย
เลือกดอกยางรถแบบไหนดี
ดอกยางนั้นมีความสำคัญอย่างมากในการขับขี่รถให้ปลอดภัยบนท้องถนนทั้งต่อตนเองและผู้อื่น และดอกยางก็สามารถเสื่อมสภาพได้ตามระยะเวลาการใช้งาน แต่เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนยาง หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าดอกยางรถมีหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็จะเหมาะกับการใช้งานที่ต่างกันไป ดังนี้
1. ดอกยางรถแบบละเอียด (Rib Pattern)
ดอกยางแบบละเอียดคือดอกยางรถที่มีร่องและลายดอกเรียงเป็นแถวยาวตามเส้นรอบวงของยาง เช่น DUN 195/65R15 EC300 ของ Dunlop ยางรถจากทาง Autobacs ที่ช่วยในเรื่องประหยัดน้ำมันที่มาพร้อม ช่วยลดเสียงรบกวนขณะขับรถเพื่อเพิ่มการขับขี่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยยางแบบนี้ให้สมรรถนะที่ดีในการขับขี่บนถนนแห้งมากกว่าถนนที่เปียกหรือมีหิมะ
2. ดอกยางรถแบบบั้ง (Lug Pattern)
ดอกยางแบบบั้งคือดอกยางรถที่มีร่องยางลึก และมีลวดลายที่เป็นบั้งขวางทำให้เหมาะกับถนนขรุขระหรือถนนไม่เรียบ มีดินหรือทราย เพราะต้องการประสิทธิภาพในการตะกุย Autobacs ขอแนะนำ DUN 215/70R16C SPLT30 ของ Dunlop ยางรถจากทาง Autobacs ซึ่งเหมาะอย่างมากกับรถปิคอัพอเนกประสงค์ที่ต้องการความสะดวกสบายในทุกสภาวะการขับขี่ด้วยการเพิ่มสมรรถนะในการยึดเกาะถนนทั้งแห้งและเปียก
3. ดอกยางรถแบบผสม (Rib Lug Pattern)
ดอกยางแบบผสมคือดอกยางรถที่รวมเอาข้อดี ระหว่างดอกยางแบบละเอียดและบั้งเข้าด้วยกัน โดยตรงกลางของหน้ายางจะเป็นดอกยางแบบละเอียดช่วยในการยึดเกาะเหมาะกับทางเรียบ แต่ด้านซ้ายและขวาเป็นดอกยางแบบบั้งที่ช่วยในการกรุยทาง จึงช่วยให้วิ่งบนทางขรุขระหรือลาดยาง โดยมีสมรรถนะที่ดีในการขับขี่บนพื้นผิวทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น ยางรุ่น MIC 185/65R14 ENERGY XM2+ จากแบรนด์ที่ให้ความมั่นใจเสมอมาอย่าง Michelin ที่ช่วยให้คุณมั่นใจทุกการการขับขี่และเบรกสั้น พร้อมกับอายุการใช้งานที่ยาวนาน และนี่คือ ยางรถจากทาง Autobacs
4. ดอกยางรถแบบบล็อก (Block Pattern)
ดอกยางรถแบบบล็อกมีลักษณะก้อนเหลี่ยมหรือโค้งมน เรียงตัวกันคล้ายอิฐบล็อกและมีช่องว่างระหว่างบล็อก โดยดอกยางรถประเภทนี้จะให้แรงตะกุยสูงเหมาะสำหรับใช้งานแบบออฟโรดทั้งลุยโคลนและทรายมากกว่าถนนเรียบ เช่น ยางรุ่น YK 35X12.50R20 G005 E4740 ของ Yokohama เป็นยางรถจากทาง Autobacs รุ่นนี้มาพร้อมกับเทคโนโลยี GEO-SHIELD ที่ให้โครงสร้างยางที่แข็งแกร่งเหมาะสำหรับผู้ชื่นชอบลุยทางวิบากขั้นสูงสุด
ลายดอกยาง อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
นอกจากประเภทดอกยางที่กล่าวไปแล้ว ยังมีลายดอกยางที่ต้องพิจารณาประกอบด้วย ลายดอกยางคือลวดลายที่ปรากฏบนหน้ายาง ซึ่งมีผลต่อการยึดเกาะและการสึกหรอของยาง โดยลายดอกยางรถมีหลายแบบ ดังนี้
ดอกยางลายทิศทางเดียว (Directional)
ดอกยางรถแบบทิศทางเดียว คือดอกยางที่มีลวดลายเป็นรูปตัว V หรือลูกศรที่ชี้ไปในทิศทางเดียวกัน ยางประเภทนี้มีข้อดีคือ รีดน้ำออกจากหน้ายางได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มการยึดเกาะถนนในสภาพถนนเปียกได้ดี
ดอกยางลายสมมาตร (Symmetric)
ดอกยางรถลายสมมาตรคือ ลายดอกยางที่มีลักษณะเหมือนกันทั้งสองด้านของหน้ายาง ทำให้สามารถหมุนยางได้ทุกทิศทาง ไม่จำเป็นต้องกำหนดทิศทางของยาง และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน แต่ข้อเสียคือไม่มีประสิทธิภาพในการรีดน้ำ หรือการขับขี่ในสภาพถนนที่มีความขรุขระ
ดอกยางลายไม่สมมาตร (Asymmetric)
ดอกยางรถลายไม่สมมาตร คือลายดอกยางที่มีลักษณะแตกต่างกันระหว่างด้านซ้ายและขวาของหน้ายาง ซึ่งข้อดีคือมีประสิทธิภาพในการรีดน้ำ การยึดเกาะ และการเลี้ยว แต่มีข้อเสียคือต้องกำหนดทิศทางของยาง และมีอายุการใช้งานที่สั้นกว่ายางแบบสมมาตร
สรุป
หลายคนอาจคิดว่าดอกยางรถไม่สำคัญ แต่จริงๆ แล้วดอกยางรถมีความสำคัญมากสำหรับการขับขี่ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เพราะดอกยางรถที่เหมาะสมจะช่วยให้รถยนต์สัมผัสกับพื้นถนนได้ดี และช่วยการลดการเกิดอุบัติเหตุต่างๆ ซึ่งการตรวจสภาพดอกยางรถเบื้องต้นนั้นก็สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเองไม่ว่าจะเป็นการใช้เหรียญบาท หรือสังเกตจากเสียงของรถ
ดังนั้นจึงควรเช็กสภาพดอกยางรถอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้ดอกยางรถเสื่อม เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนยางก็ควรเลือกดอกยางรถที่เหมาะสม ขอแนะนำ Autobacs ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจร ได้มาตรฐาน อันดับหนึ่งในญี่ปุ่น มียางให้เลือกมากมาย หลากหลายรูปแบบให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม ยังมีบริการอีกมากมายทั้งตั้งศูนย์ถ่วงล้อ หรือแม้แต่เช็กสภาพรถยนต์ 25 รายการ ฟรี !! อุ่นใจตลอดการเดินทาง และยังมาพร้อมกับพร้อมโปรโมชั่นดีๆ มากมาย มาที่นี่มั่นใจว่าจะได้ยางแท้ คุณภาพดี พร้อมกับคำปรึกษาเรื่องรถกลับไปแน่นอน